아무것도 보지 못했다

아무 것도 보지 못했다는 우리의 인식 작용인 패러다임을 제외한 상태로 사물을 보면 어떻게 보일까 하는 것을 실험해 본 결과물이다.
우리가 본다는 것은 눈도 아니고 마음도 아니며 지금까지 축적된 경험과 외부 세계의 지식을 통해 사물을 인식한다. 이러한 축적된 경험과 외부 세계의 지식을 제외한 채 세계를 보면 어떤 식으로 보이게 될까 하는 것이 나의 주제였다.
그런데 이 시도는 처절하게 깨졌다. 우리는 패러다임을 버리고 사물을 인식할 수도 없거니와 패러다임을 버릴 수도 없다는 것을 깨닫게 되었다. 생각하는 도구가 이미 언어이고 이 언어로 생각을 한다는 것은 이미 세계가 규정한 형식과 내용을 가지고 사물과 만나게 되기 때문이다.
내가 이 전시의 제목을 ‘아무 것도 보지 못했다’라고 한 것이 바로 이 지점이다. 이전의 지식과 경험 없이 사물을 본다는 것은 불가능하다는 것이고 더불어 지금까지 내가 사물을 본다는 것은 외부 세계의 지식과 경험의 축적으로 보는 것이니 진정한 나 자신이 세계와 조우 한다는 것은 불가능하다는 뜻이다.
다시 말해 나 사진은 세계와 조우가 불가능 하다는 뜻이다.
나는 프로그래밍 된 채로만 세계와 만난다는 뜻이기도 하다.
프로그래밍 되기 전의 나는 아무 것도 볼 수가 없고 아무 것도 아닌 것이라는 말이다.


ไม่เห็นอะไรเลย

ไม่เห็นอะไรเลยคือผลการทดลองในสภาวะที่นอกเหนือจากกระบวนทัศน์ที่ส่งผลต่อการรับรู้ของเราว่าถ้ามองวัตถุแล้วจะเห็นเป็นอย่างไร
เราไม่ได้มองเห็นสิ่งนั้นด้วยดวงตาหรือจิตใจ แต่เรารับรู้สิ่งต่างๆผ่านประสบการณ์และความรู้ที่สั่งสมมาจากโลกภายนอก หัวข้อของผมคือจะมองโลกออกมาแบบไหนหากเรามองมันโดยปราศจากประสบการณ์และความรู้ที่สั่งสมมาจากโลกภายนอกเหล่านี้
อย่างไรก็ตามความพยายามนี้ก็ล้มเหลวลงอย่างน่าสมเพชเวทนา เราตระหนักได้ว่าเราไม่สามารถรับรู้สิ่งต่างๆโดยการละทิ้งกระบวนทัศน์และเราไม่สามารถละทิ้งกระบวนทัศน์ได้ เครื่องมือในการคิดคือภาษาและการคิดโดยใช้ภาษาก็คือรูปแบบและแก่นสารที่โลกได้กำหนดไว้แล้วมาพบเจอกับสิ่งต่างๆ
การที่ผมตั้งหัวข้อนิทรรศการ”ไม่เห็นอะไรเลย”ก็มาจากจุดนี้ เป็นไปไม่ได้ที่จะเห็นสิ่งต่าง ๆ หากไม่มีความรู้และประสบการณ์มาก่อน นอกจากนี้ สิ่งที่ผมได้เห็นมาจนถึงตอนนี้คือการสั่งสมความรู้และประสบการณ์ของโลกภายนอกซึ่งหมายความว่าเป็นไปไม่ได้เลยที่ตัวตนที่แท้จริงของผมจะพบเจอกับโลกนี้ด้วยความบังเอิญ
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือเป็นไปไม่ได้ที่ภาพถ่ายของผมจะเจอกับโลกนี้โดยไม่ได้ตั้งใจ
นอกจากนี้ยังหมายความว่าผมพบเจอกับโลกตามที่ได้โปรแกรมได้วางไว้เท่านั้น
ซึ่งหมายความว่าก่อนที่ผมจะถูกตั้งโปรแกรม ผมไม่สามารถมองอะไรได้เลยและไม่มีอะไรเลย